วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

"กล้วยหอม" ผลไม้รสหวานให้โทษ?


"กล้วยหอม" ผลไม้รสหวานให้โทษ?


"กล้วยหอม" ผลไม้รสหวานให้โทษ?



เมื่ออาทิตย์ก่อนหน้า เมโกะได้เสนอว่า "ทานกล้วยยามเช้านั้นดี และมีประโยชน์"  แต่วันนี้เมโกะจะมาย้ำเตือนถึงภัยจาก "กล้วยหอม" ซึ่งเป็นอาจกล้วยที่หลายๆ คนชอบ และเลือกทานมื้อเช้าเนื่องจากมีกลิ่นหอม และรสหวาน อร่อย



การทานกล้วยต่างๆ ไม่ใช่แค่การทานกล้วยหอมนะคะ  จะไม่เกิดผลเสีย หากมีการบริโภคอย่างถูกวิธี เพราะ กล้วยนั้น จัดว่าเป็นผลไม้ฤทธิเย็นมีรสหวาน อย่างเช่นพวก ทุเรียน ขนุน ผลไม้รสหวานเหล่านี้  เราอย่าได้ริอาจรับประทานตอนหิวเป็นอันขาด ยิ่งหิวจัดๆ เนี่ยยิ่งต้องระวังใหญ่ เพราะผลไม้รสหวานพวกนี้หากทานเข้าไปตอนหิวมันจะสร้างแก๊สขึ้นในกระเพาะได้รวดเร็วมาก แล้วแก๊สที่ว่ามันก็จะวิ่งไปตามจุดต่างๆของร่างกาย หลอดเลือด เส้นประสาทก็ถูกลม ถูกแก๊สพวกนี้ กดทับ ตีบตัน ทำงานได้ไม่สะดวกจนเป็นเหตุให้อาการปวด และ โรคต่างๆตามมากันเป็นแถว

ยิ่งอากาศร้อนๆ แบบบ้านเรา หลายๆ ท่านใช้วิธีแช่ผลไม้หวานๆ ตุนไว้ในตู้เย็น เผื่อเวลาร้อนๆ หรือ ท้องว่างจะได้นำออกมารับประทานให้สดชื่น แจ่มใสกัน แต่นี่แหละคือตัวปัญหา ผลไม้รสหวาน แช่เย็นๆ แบบนี้ หากทานตอนหิวจัดแถมช่วงอากาศร้อนๆในเมืองไทยแบบนี้ ไม่ได้เด็ดขาดค่ะ 

หลายท่านบอกว่า ก็เห็นนักกีฬาต่างชาติเค้าทานกันตอนช่วงพักกันยกใหญ่ เพราะกล้วยหอมมันให้พลังงานได้รวดเร็ว แล้วทำไมเค้าไม่เห็นเป็นอะไรเลย? ก็ฝรั่งน่ะไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะโดยธรรมชาติแล้ว กระเพาะอาหารของพวกเขานั้นแข็งแรงกว่าพวกเราคนไทยมาก แถมอากาศบ้านเมืองเค้าก็ไม่ได้ร้อน (ถึงร้อนมาก) แบบบ้านเรา กล้วยหอมที่ทานเข้าไปก็ยังไม่ทันได้สร้างแก๊สก็โดนดึงไปเป็นพลังงานซะแล้ว โดยเฉพาะพวกกีฬาหนักๆ อย่าง เทนนิส ฟุตบอล แบบเนี้ย คงย่อยไปหมดแล้ว แต่พนักงานออฟฟิศ มนุษย์เงินเดือน นี่สิ ทำงานจนไม่มีเวลาออกไปหาอะไรทาน จนต้องพึ่งกล้วยหอมประทังชีวิตไปก่อน แถมไม่ได้ไปออกแรงทำอะไรหนักๆ อีก แบบนี้ก็ไม่รอดแล้วล่ะ แล้วเราก็มีอาการปวดนั้นปวดนี่ สุดท้ายก็บอกว่า "สงสัยกระดูกทับเส้น" ผิดประเด็นไปไกลเชียว
เอาล่ะรู้อย่างนี้แล้ว ทุกอย่างอยู่ที่ตัวของทุกคนเองนะคะ ว่า จะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ยังไงให้เข้ากับชีวิตประจำวัน แต่สิ่งที่สำคัญของการรับประทานอาหารก็ยังคงเป็น
  • ทานอาหารให้ตรงเวลา
  • ทานอาหารที่มีประโยช์นให้ครบห้าหมู่ 
  •  
http://www.mekoclinic.com/content/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A1-%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%A9 : อ้างอิง
  •  

น้ำพริกกุ้งเสียบ

น้ำพริกกุ้งเสียบ

เป็นน้ำพริกที่ทำจากกุ้งสดแท้ ๆ นำมารับประทานร่วมกับลูกเนียง สะตอ
สิ่งที่ต้องเตรียม
น้ำพริกกุ้งเสียบ
1. กุ้งเสียบ 300 กรัม
2. กะปิใส่ใบตอง 80 กรัม
3. พริกขี้หนูสวนคั่วไฟพอสุก 80 กรัม
4. น้ำตาลปี๊บ 3 ช้อนโต๊ะ
5. น้ำมะนาว 7 ช้อนโต๊ะ
6. น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
7. น้ำปลา 4 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. นำกะปิใส่ใบตองที่เผาไฟ โขลกกับพริกขี้หนู
2. ใส่หอมแดงซอยหยาบ โขลกให้เข้ากัน
3. ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล น้ำมะนาว
4. นำกุ้งเสียบใส่ผสมกับน้ำพริก คนให้เข้ากัน
5. สามารถนำมารับประทานร่วมกับผัก ลูกเนียง สะตอ


http://xn--12c1cpu7eo7l6a.com/recipe/namprik_goong_siab.html : อ้างอิง

นิทาน ''สัญญาของแม่''


นิทาน ''สัญญาของแม่''




 




นิยามแห่งความรัก

   
 
    * บางครั้ง ความรัก ก็เข้ามาหาเรา เพื่อให้เราเรียนรู้ มิใช่ให้เราครอบครอง
    * ไม่ผิดหากจะรักคนมีเจ้าของ แต่จะผิดหากเข้าไปทำหน้าที่ซ้ำซ้อนคนอีกคน
    * หน้าที่ของความรัก คือการเดินไปมอบความรัก และยืนเฉยๆเพื่อรับมัน ไม่ใช่การดิ้นรนเพื่อให้ได้มา
    * ในห้วงรัก การถูกรัก มันสุขใจ การมอบความรักมันอิ่มเอม และเมื่อได้รับการปฏิเสธ มันทรมาน
    * ความรัก จะเกิดขึ้นเมื่อเกิดการถ่ายเทพลังอันอ่อนโยนของคนสองคน
    * ความรัก มิใช่การเข้าไปเป็นชีวิตเขา แต่คือการเข้าไปอยู่ข้างๆชีวิตเขา
    * คนบางคนเหมาะที่เกิดมาเพื่อให้เรารัก แต่ไม่เหมาะที่จะร่วมชีวิตด้วย
    * ความรัก ระยะแรกทำให้ร่างกายหลั่งสารกระตือรือร้น ทำให้มนุษย์ทำทุกอย่างให้ได้มาซึ่งความรัก
    * แฟน ก็คือ เพื่อนคู่คิด ที่ก้าวไปด้วยกันในวันข้างหน้า
    * ในวันที่ความรักคงที่ สารกระชุ่มกระชวยงดทำงาน สิ่งเดียวที่จะทำให้อยู่ด้วยกันได้ตลอดไป คือ ความเข้าใจล้วนๆ
    * ความห่างไกล มันทรมาน เวลาเจอกันจึงหอมหวาน และเป็นความทรงจำที่เก็บไปนั่งเพ้อฝันได้ในวันจาก
    * บุคคลไม่พึงประสงค์สำหรับทุกคู่รัก มักจะเดินทางมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย
    * ผู้ชายแสดงความรักด้วยการกระทำ ขณะที่ผู้หญิงอยากรู้ว่ารัก จากคำพูด

    * ความรักเป็นเพียงสายใยบาง ๆ ที่มันถูกหล่อหลอมขึ้นจากความรู้สึกต่าง ๆ ทั้งความอาทร ห่วงใย ห่วงหา คิดถึง
    * ความอดทน จะทำให้อุปสรรคต่าง ๆ ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ความพยายาม จะทำให้เราสองคนยังคงอยู่ ความไว้ใจ จะทำให้ความรักของเราแข็งแกร่ง ความซื่อสัตย์ จะทำให้ความรักของเรามั่นคง ความเสมอต้นเสมอปลาย จะทำให้ความรักของเราสวยงาม และสุดท้ายความรักก็จะก่อตัวขึ้นเป็นความผูกพัน
    * สิ่งเหล่านี้จะทำให้สายใยบาง ๆ ของความรัก กลายเป็นเชือกเส้นหนาที่ผูกคนสองคนไว้ด้วยกัน มันจะเป็นเชือกที่มัดเราไว้ด้วยกัน เป็นเชือกที่ทำให้เราไม่อึดอัด เราจะไม่ดิ้นรนที่จะพยายามหลุดออกจากเชือกเส้นนี้
    * เมื่อได้เจอความรักที่ดีแล้ว จงทำให้เขารู้สึกว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว อย่าปล่อยให้เขาโดดเดี่ยว อย่าปล่อยให้เขาเดียวดาย คิดถึงสิ่งดี ๆ ที่เราเคยมีกัน อย่าลืมวันแรก ๆ ที่เรารู้สึกกับคน ๆ นี้ เขาเป็นคนดีที่สุดแล้วสำหรับเรา พยายามรักษาเขาไว้ เพราะเมื่อเขาหลุดลอยไปแล้ว เราจะไม่สามารถเรียกความรู้สึกต่าง ๆ กลับมาได้อีก เหมือนเวลาที่ไม่สามารถย้อนเดินกลับ
    * ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะอดีตแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว อย่าทิ้งหัวใจของคุณไว้กับอดีต อย่าคิดว่าอดีตจะมีวันหวนคืน
    * อย่าคิดว่าไม่มีพรุ่งนี้ อย่าลืมบทเรียนของเมื่อวาน ทุกชีวิตยังมีความหวังอยู่เสมอ จงปล่อยให้ชีวิตดำเนินต่อไป..
    * วันหนึ่งถ้าชีวิตหวนคืนมาสู่ทางสายเก่า.. ที่เคยทำให้คุณมีความสุขระหว่างเดินทางในแต่ละก้าว..จงอย่าเดินเลี่ยงมันไป อีก เพราะน้อยนักที่ถนนสายเดิมยังคงสภาพเดิมเพื่อรอให้คุณเดินย้อนกลับมา.. ลองเดินต่อไปสิ..บางทีคุณอาจจะเจอจุดหมายที่คุณค้นหามาตลอดชีวิต ในเส้นทางที่คุณเคยเดินเลี่ยงมันไปก็ได้...

    * คนที่รักคนที่เปลือกนอกมีอยู่เยอะเหลือเกิน ชีวิตคนคนหนึ่งจะมีคนที่รักคุณจริงผ่านมาสักกี่คน ใครที่บอกว่ารักคุณแล้วพยายามจะเปลี่ยนคุณ ดึงคุณให้เดินตามทางของเขา เขาไม่ได้รักคุณจริงหรอก...เขารักตัวเอง
    * จงเชื่อในพรหมลิขิต จงเชื่อในเหตุการณ์ที่นำพาความรักมาให้
    * อย่าบอกว่าไม่รัก ถ้าไม่สามารถสบตาเขาอย่างบริสุทธิ์ใจได้ อย่าบอกว่ารัก..ถ้าคุณไม่รู้สึกวูบวาบเวลาอยู่ใกล้ ๆ อย่าบอกว่าไม่คิดถึง..ถ้าหัวใจไม่อาจลืม อย่าบอกว่าคิดถึง ถ้าเพิ่งจากกันไม่ถึง 1 นาที
    * อย่าปล่อยให้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราหลุดลอยไป ลองคุยกันมากขึ้น รับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายด้วยใจ จะทำให้เรารู้ว่าเราโชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้รู้จักความรัก อย่าปล่อยให้ใครคนใดคนหนึ่งมีน้ำตา ทั้ง ๆ ที่อีกคนหนึ่งกำลังดีใจ อย่าปล่อยให้ใครอีกคนหนึ่งยิ้ม ทั้ง ๆ ที่อีกคนหนึ่งกำลังร้องไห้ อย่าปล่อยให้ใครคนใดคนหนึ่งพูด ทั้ง ๆ ที่อีกคนหนึ่งไม่ต้องการฟัง
    * ความรักต้องมาจากความรู้สึกของคนสองคน.. อย่าให้ใครคนใดคนหนึ่งหยิบยื่น แต่อีกคนหนึ่งไม่ต้องการ

    * เพราะรักในแบบของใคร ก็เป็นแบบของมันไม่มีแบบแผนตายตัว จงอย่าฝืนใจรัก ถ้ามันไม่ใช่ ไม่มีประโยชน์อะไร ที่จะคบใครสักคนเพียงเพราะอยากจะมีใครสักคน
    * อย่าเปลี่ยนตัวเองเพียงเพื่อให้เขามารัก เพราะจะทำได้ไม่นาน วันหนึ่งคุณจะรู้สึกเหนื่อยเพราะความรัก ที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง
    * อย่าหลงในรสชาติของความรักเสียจนลืมชีวิตประจำวันของตัวเอง หรือสูญเสียความเป็นส่วนตัว
    * คนที่พร้อมจะอยู่กับคุณโดยที่คุณไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิตเลย คนที่พร้อมจะเดินหน้าเมื่อคุณเดินหน้า คนที่พร้อมจะถอยหลังไปกับคุณ คนที่ไม่ยอมให้คุณเดินตามหลัง ขอเพียงเดินเคียงข้างกัน คนที่ไม่บังคับให้คุณทำอะไรในแบบที่คุณไม่ชอบ คนที่ไว้ใจ ให้อภัย ให้โอกาส ซื่อสัตย์และให้เกียรติคุณ ...นั่นแหละ คือคนที่รักคุณจริง..... จงถนอมคนเหล่านี้ไว้ อย่าปล่อยให้เขาไปจากคุณ.. เพราะคุณจะเสียใจ หากเขาเปลี่ยนไปหยิบยื่นความโชคดีที่ควรจะเป็นของคุณ ไปให้คนอื่น

    * "ความรัก" ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่มนุษย์มีอยู่มากมายราวกับว่าจะไม่มีวันหมด แต่สิ่งที่มนุษย์มีอยู่จำกัดจนดูเหมือนคับแคบเห็นแก่ตัว ก็คือ "ความอดทน" ยิ่งรักมากก็ยิ่งต้อง "อดทน" กับปัญหาต่างๆ รอบข้าง เพื่อรักษาความรักนั้นไว้ให้ยั่งยืน
    * แต่ในทิศทางตรงกันข้าม เมื่อใดที่สิ้นรักเมื่อนั้น "ความอดทน" ก็หามีไม่ สิ่งใดที่เคยทนได้ก็กลับแปรเปลี่ยนไป สิ่งใดที่เคยเห็นดี เห็นชอบ กลับกลายเป็นขวางหูขวางตา ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายหนึ่งกระทำต่อตนอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ท้ายที่สุดเราเป็นฝ่ายทอดทิ้งให้ความรักนั้นต้องจบลง
    * บางครั้งความรักนั้นอาจจบลงทั้งๆ ที่ความรู้สึกรักของเรายังมีอยู่เต็มหัวใจ เพียงแต่การถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่ง "ความอดทน" บอกให้เราต้องไป...ไปทั้งที่ยัง "รัก" เพราะหากรักแล้วต้องเจ็บ ต้องช้ำ ทางเลือกที่ดีที่สุดก็น่าจะหมายถึง "การจากไปในวันนี้เพื่อที่จะเข้มแข็งและลุกขึ้นได้ใหม่ในวันข้างหน้า" อย่างนั้นมิใช่หรือ
    * "หากรักแล้วต้องร้องไห้ไปตลอดชีวิต ตนขอเลือกที่จะร้องไห้สองสามวันแล้วยิ้มไปตลอดชีวิตที่ดีกว่า"
    * สุดท้ายก็ขั้นอยู่กับตัวเองแล้วล่ะนะ ว่าจะร้องไห้ไปตลอดชีวิต หรือร้องไห้แค่วันนี้แล้วยิ้มไปตลอดชีวิต ชีวิตเรา ๆ สามารถเลือกเองได้จริงมั้ย?
    * "คนร่วมทาง" คนเราคบหาร่วมทางกัน มีค่าตรงที่รู้จักกัน คนเรารู้จักคุ้นเคยกัน มีค่าตรงที่รู้ใจกัน คนเรารู้ใจกันแล้วจากกัน มีค่าตรงที่อยู่ในความทรงจำที่ดีของกัน
    * นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าจะรักอย่างไรก็อย่าให้ตาบอดเสียล่ะ เมื่อวันหนึ่งความอดทนบอกเราว่าถึงเวลาแล้ว ก็ควรจะรับฟังไว้บ้างก็แล้วกัน เราเป็นผู้กำหนดชีวิตของเราเองมิใช่หรือ
 
http://beloveyou.exteen.com/20110611/entry : อ้างอิง

ผักชี

กลุ่มยาแก้ปวดฟัน
ผักชี
 
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Coriandrum sativum  L.
ชื่อสามัญ   Coriander
วงศ์   Umbelliferae
ชื่ออื่น :  ผักหอม (นครพนม) ผักหอมน้อย (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ผักหอมป้อม ผักหอมผอม
(ภาคเหนือ) ยำแย้ (กระบี่)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก ที่มีลำต้นตั้งตรง ภายในจะกลวง และมีกิ่งก้านที่เล็ก 
ไม่มีขน มีรากแก้วสั้น แต่รากฝอยจะมีมาก ซึ่งลำต้นนี้จะสูงประมาณ 8-15 นิ้ว
 ลำต้นสีเขียวแต่ถ้าแก่จัดจะออกเสียเขียวอมน้ำตาล ใบ ลักษณะการออกของใบจะเรียงคล้ายขนนก 
แต่อยู่ในรูปทรงพัด ซึ่งใบที่โคนต้นนั้นจะมีขนาดใหญ่กว่าที่ปลายต้น 
เพราะส่วนมากที่ปลายต้นใบจะเป็นเส้นฝอย มีสีเขียวสด ดอก ออกเป็นช่อ ตรงส่วนยอดของต้น 
ดอกนั้นมีขนาดเล็ก มีอยู่ 5 กลีบสีขาวหรือชมพูอ่อนๆ ผล จะติดผลในฤดูหนาว 
ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลมโตประมาณ 3-5 มิลลิเมตร ตรงปลายผลจะแยกออกเป็น 2 แฉก 
ตาวผิวจะมีเส้นคลื่นอยู่ 10 เส้น
ส่วนที่ใช้ : 
 ผล เมล็ด ต้นสด
สรรพคุณ :
  • ผล - แก้บิด ถ่ายเป็นเลือด ถ่ายเป็นมูก แก้ริดสีดวงทวาร มีเลือดออก แก้ท้องอืดเฟ้อ
  • เมล็ด - แก้ปวดฟัน ปากเจ็บ
  • ต้นสด - ช่วยให้ผื่นหัดออกเร็วขึ้น แก้เด็กเป็นผื่นแดงไฟลามทุ่ง
วิธีและปริมาณที่ใช้ :
  • แก้บิดถ่ายเป็นเลือด ใช้ผล 1 ถ้วยชา ตำผสมน้ำตาลทราย ผสมน้ำดื่ม
  • แก้บิด ถ่ายเป็นมูก ใช้น้ำจากผลสดอุ่น ผสมเหล้าดื่ม
  • แก้ริดสีดวงทวาร มีเลือดออก - ใช้ผลสดบดให้แตก ผสมเหล้าดื่มวันละ 5 ครั้ง 
    - ใช้ต้นสด 120 กรัม ใส่นม 2 แก้ว ผสมน้ำตาล ดื่ม
  • แก้ท้องอืดเฟ้อ ใช้ผล 2 ช้อนชา ต้มน้ำดื่ม
  • แก้เด็กเป็นผื่นแดงไฟลามทุ่ง ช่วยให้ผื่นหัดออกเร็วขึ้น ใช้ต้นสด หั่นเป็นฝอย ใส่เหล้าต้มให้เดือด ใช้ทา
  • แก้ปวดฟัน ปากเจ็บ ใช้เมล็ดต้มน้ำ ใช้อมบ้วนปากบ่อยๆ


    http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_18_3.htm : อ้างอิง

วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ฟ้อนเล็บ.


ฟ้อนเล็บ




ฟ้อนเล็บ เป็นการฟ้อนของชาวไทยภาคเหนือ การแสดงจะมีดนตรีบรรเลงประกอบ 
จะมีเนื้อร้องหรือไม่มีเนื้อร้องก็ได้ โอกาสที่แสดง ในงานเทศกาลหรืองานนักขัตฤกษ์ต่าง ๆ

ฟ้อนแต่ละชุดจะใช้จำนวนคนแตกต่างกันไป นิยมกันมี 4 คู่ 6 คู่ หรือ 8 คู่

[แก้]ผู้แสดง

[แก้]การแต่งกาย

จะแต่งกายแบบไทยชาวภาคเหนือสมัยโบราณ คือ เกล้าผมทัดดอกไม้และอุบะ นุ่งผ้าตามแบบชาวเหนือ
 สวมเสื้อทรงกระบอกแขนยาว คอกลมห่มสไบเฉียง นุ่งผ้าซิ่นลายขวาง และ สวมเล็บมือยาวทั้ง 8 นิ้ว 
เว้นแต่นิ้วหัวแม่มือ]

[แก้]การแสดง

ผู้แสดงจะร่ายรำตามทำนองเพลงที่เชื่องช้า ส่วนการใช้ท่าฟ้อนเล็บนั้น ช่างฟ้อนมักจะจำต่อๆ กันมา
 เป็นท่าฟ้อนดั้งเดิมของชาวเหนือ คือ
  1. ท่าพายเรือ
  2. ท่าบิดบัวบาน
  3. ท่าหย่อน
ต่อมาเมื่อนาฎศิลป์ทางภาคกลางแพร่มาสู่ภาคเหนือ การฟ้อนเล็บก็มีการปรับวิธีการฟ้อนให้เข้ากับท่ารำแม่บท 
เพิ่มท่ารำให้มากขึ้นและแตกต่างกันไป

[แก้]ดนตรี

เครื่องดนตรีที่ใช้ในการฟ้อนเป็นขบวนกลองยาว ซึ่งเป็นดนตรีของชาวภาคเหนือ ได้แก่ 
กลองแอร์ กลองตะโล้ดโป๊ด ฉาบ ฆ้องโหม่งใหญ่ ฆ้องโหม่งเล็ก ฉิ่ง ปี่ เวลาดนตรีบรรเลง
 1.เสียงปี่ดังไพเราะเยือกเย็นมาก ท่วงทำนองเชื่องช้า เสียงกลองจะตีดัง ตะ ตึ่ง นง ตึ่ง ต๊ก ถ่ง
 อย่างนี้เรื่อยไป ส่วนช่างฟ้อนก็จะฟ้อนช้าๆ ไปตามลีลาของเพลง

[แก้]อ้างอิง



ธง'อาเซียน


ธงอาเซียน และสัญลักษณ์ของอาเซียน



          นับถอยหลังอีกเพียงไม่กี่ปี ประเทศไทยก็จะก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) อย่างเต็มตัวแล้ว ซึ่งขณะนี้ก็ดูเหมือนว่าประเทศของเราจะมีความตื่นตัวในการเปิดเขตเศรษฐกิจ เสรีอาเซียนอยู่ไม่น้อยทีเดียว ดังจะเห็นได้จากการจัดสัมมนา ฝึกอบรมและกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาเซียนอย่างมากมาย
          สำหรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนมีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้อาเซียนมีตลาดและฐานการผลิตเดียวกันและมีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน เงินทุน และแรงงานมีฝีมืออย่างเสรี ซึ่งอาเซียนมีความจำเป็นที่ต้องเร่งรัดการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจภายใน ก็เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับอาเซียนเอง และเพื่อสร้างให้อาเซียนเป็นศูนย์กลางภายในภูมิภาค คานอำนาจของประเทศอื่น ๆ ภายในภูมิภาคที่มีบทบาทโดดเด่นอย่างเช่น จีน ญี่ปุ่นและอินเดีย เป็นต้น

          และเพื่อเป็นการทำความรู้จักประชาคมอาเซียนให้มากขึ้น วันนี้กระปุกดอทคอมก็มีสาระน่ารู้เกี่ยวกับสัญลักษณ์ของธงชาติอาเซียน มาฝากกันค่ะ
ธงอาเซียน และสัญลักษณ์ของอาเซียน

          ธงชาติอาเซียน มีสัญลักษณ์คือ ต้นข้าวสีเหลือง 10 ต้นมัดรวมกันไว้ หมายถึงประเทศสมาชิกรวมกันเพื่อมิตรภาพและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

          สีน้ำเงิน หมายถึง สันติภาพและความมั่นคง
          สีแดง หมายถึง ความกล้าหาญและความก้าวหน้า
          สีขาว หมายถึง ความบริสุทธิ์
          สีเหลือง หมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง

         สำหรับหลักและวิธีการประดับธงอาเซียน และธงชาติของประะเทศสมาชิกอาเซียนให้ เรียงโดยเริ่มจากธงอาเซียนแล้วต่อด้วยสมาชิก 10 ประเทศ ตามลำดับอักษรชื่อประเทศดังนี้

ธงอาเซียน และสัญลักษณ์ของอาเซียน

          1. Brunei Darussalam (บรูไน ดารุสซาลาม)

          ธงชาติบรูไน ลักษณะของธงชาติมีพื้นสีเหลือง โดยมีแถบสีขาว และสีดำ พาดตามแนวทแยงมุมจากด้านคันธงจรดปลายธง ซึ่งแถบสีขาวอยู่ด้านบน แถบสีดำอยู่ด้านล่าง ขณะที่กลางธงนั้น มีตราแผ่นดินของบรูไนประทับอยู่ ซึ่งสีต่าง ๆ มีความหมาย ดังนี้

           สีเหลือง หมายถึง กษัตริย์

           สีขาว และสีดำ หมายถึง มุขมนตรี

          สาเหตุที่ธงชาติบรูไนใช้สีเหลืองสื่อถึงกษัตริย์นั้น เนื่องจากธงประจำพระองค์ของสุลต่านแห่งบรูไน ใช้ธงพื้นสีเหลือง


ธงอาเซียน และสัญลักษณ์ของอาเซียน

          2. Kingdom of Cambodia (ราชอาณาจักรกัมพูชา)

          ธงชาติกัมพูชา ลักษณะผืนธงแบ่งตามแนวยาวเป็น 3 ริ้ว โดยริ้วตรงกลางจะเป็นสีแดง กว้าง 2 ส่วน มีรูปปราสาทหินนครวัดสามยอดสีขาวอยู่บริเวณกึ่งกลาง ขณะที่ริ้วด้านนอกทั้ง 2 ด้าน มีสีน้ำเงิน และกว้างริ้วละ 1 ส่วนเท่า ๆ กัน โดยสีต่าง และสัญลักษณ์ต่าง ๆ ของธง มีความหมาย ดังนี้

           สีน้ำเงิน หมายถึง กษัตริย์

           สีแดง หมายถึง ชาติ

           ส่วนปราสาทนครวัดสีขาว หมายถึง สันติภาพ


ธงอาเซียน และสัญลักษณ์ของอาเซียน

          3. Republic of Indonesia (สาธารณรัฐอินโดนีเซีย)
          ธงชาติอินโดนีเซีย พื้นธงแบ่งเป็นสองส่วนตามแนวนอน โดยสีต่าง ๆ ของธง มีความหมาย ดังนี้

           สีแดง หมายถึง ความกล้าหาญ และอิสรภาพ

           สีขาว หมายถึง ความบริสุทธิ์ยุติธรรม

 
ธงอาเซียน และสัญลักษณ์ของอาเซียน
          4. Lao People’s Democratic Republic (สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว - สปป ลาว)
          ธงชาติลาว ลักษณะผืนธงแบ่งตามแนวยาวออกเป็น 3 ส่วน โดยแถบตรงกลางจะเป็นสีน้ำเงิน กว้าง 2 ส่วน มีพระจันทร์ทรงกลมสีขาวอยู่กึ่งกลาง ขณะที่แถบด้านนอกทั้ง 2 ด้าน มีสีแดง และกว้างริ้วละ 1 ส่วน เท่า ๆ กัน โดยสีต่าง ๆ ของธง มีความหมาย ดังนี้

           สีแดง หมายถึง เลือดแห่งการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของชาวลาว

           สีน้ำเงิน หมายถึง ความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ของชาติ

           พระจันทร์สีขาว หมายถึงเอกภาพของ

          สาเหตุที่มีดวงจันทร์ทรงกลมอยู่ตรงกลาง เนื่องจากเพื่อเป็นสัญลักษณ์สื่อถึงดวงจันทร์ลอยเด่นเหนือลำน้ำโขง

ธงอาเซียน และสัญลักษณ์ของอาเซียน
          5. Malaysia (มาเลเซีย)
          ธงชาติมาเลเซีย มีแถบสีแดงสลับสีขาวรวม 14 แถบ แต่ละแถบมีความกว้างเท่ากัน ที่มุมธงด้านคันธงมีรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีน้ำเงินกว้าง 8 ใน 14 ส่วนของผืนธงด้านกว้าง และยาวกึ่งหนึ่งของผืนธงด้านยาว ภายในรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าดังกล่าว มีเครื่องหมายพระจันทร์เสี้ยว และดาว 14 แฉก ซึ่งสี และสัญลักษณ์ ต่าง ๆ มีความหมาย ดังนี้

           แถบริ้วสีแดง และสีขาว ทั้ง 14 ริ้ว หมายถึง สถานะอันเสมอภาคของรัฐสมาชิกทั้ง 13 รัฐ ภายในประเทศมาเลเซีย

           ดาว 14 แฉก หมายถึง ความเป็นเอกภาพในหมู่รัฐดังกล่าวทั้งหมด

           พระจันทร์เสี้ยว หมายถึง ศาสนาอิสลามอันเป็นศาสนาประจำชาติ

           สีเหลืองในพระจันทร์เสี้ยว และดาว 14 แฉก สื่อถึง ผู้เป็นประมุขแห่งสหพันธรัฐ

           สีน้ำเงิน หมายถึง ความสามัคคีของชาวมาเลเซีย

ธงอาเซียน และสัญลักษณ์ของอาเซียน
          6. Republic of the Union of Myanmar (สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า)
          ธงชาติพม่า ได้แบ่งตามความยาวออกเป็น 3 ส่วน และมีความกว้างเท่า ๆ กัน โดยแต่ละส่วน มีสีที่แตกต่างกัน ไล่จากบนลงล่าง คือ สีเหลือง สีเขียว และสีแดง ขณะที่กึ่งกลางธงมีรูปดาว 5 แฉก สีขาวขนาดใหญ่ ซึ่งสี และสัญลักษณ์ ต่างๆ มีความหมาย ดังนี้

           สีเขียว หมายถึง สันติภาพ ความสงบ และความอุดมสมบูรณ์ของพม่า

           สีเหลือง หมายถึง ความสามัคคี

           สีแดง หมายถึง ความกล้าหาญ ความเข้มแข็ง เด็ดขาด

           ดาวสีขาว หมายถึง สหภาพอันมั่นคงเป็นเอกภาพ

ธงอาเซียน และสัญลักษณ์ของอาเซียน
          7. Republic of the Philippines (สาธารณรัฐฟิลิปปินส์)
          ธงชาติฟิลิปปินส์ ด้านต้นธงเป็นรูปสามเหลี่ยมสีขาว เป็นเครื่องหมายแทนความเสมอภาค และภราดรภาพ ซึ่งภายในสามเหลี่ยมสีขาว ประกอบด้วย ดวงอาทิตย์รัศมี 8 แฉก ล้อมด้วยดาว 5 แฉก จำนวน 3 ดวง และตั้งอยู่ตามมุมของรูปสามเหลี่ยม ซึ่งสัญลักษณ์ทั้งหมด ล้วนเป็นสีทอง ส่วนด้านที่เหลือของธง ได้แบ่งครึ่งตามความยาว โดยแถบบนมีสีน้ำเงิน และแถบล่างมีสีแดง

          ทั้งนี้ หากแถบทั้งสองสีดังกล่าว ได้มีการสลับตำแหน่งกัน คือ แถบสีแดงอยู่ด้านบน แถบสีน้ำเงินอยู่ด้านล่าง แสดงว่า ขณะนั้นประเทศฟิลิปปินส์กำลังอยู่ในภาวะสงคราม ส่วนสี และสัญลักษณ์ ต่างๆ มีความหมาย ดังนี้

           สีน้ำเงิน หมายถึง สันติภาพ สัจจะ และความยุติธรรม

           สีแดง หมายถึง ความรักชาติ และความมีคุณค่า

           ดวงอาทิตย์มีรัศมี 8 แฉก หมายถึง 8 จังหวัดแรกของประเทศ ที่มีความพยายาม ในการเรียกร้องเอกราชจากประเทศสเปน กระทั่งเกิดการปฏิวัติในปี พ.ศ. 2439

           ดาวสามดวง หมายถึง การแบ่งพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ของประเทศออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ  ได้แก่ เกาะลูซอน เกาะมินดาเนา และหมู่เกาะวิสายัน

ธงอาเซียน และสัญลักษณ์ของอาเซียน

          8. Republic of Singapore (สาธารณรัฐสิงคโปร์)
          ธงชาติสิงคโปร์ ประกอบด้วยแถบสองสีแบ่งครึ่งกลางธง แถบสีแดงอยู่ด้านบน แถบสีขาวอยู่ด้านล่าง ที่มุมด้านบนของคันธง เป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว ถัดจากรูปดังกล่าวมีดาว 5 แฉก  จำนวน 5 ดวง เรียงเป็นรูปห้าเหลี่ยมด้านเท่า โดยรูปพระจันทร์เสี้ยว และดาว 5 แฉก ต่างมีสีขาว ซึ่งสี และสัญลักษณ์ ต่างๆ มีความหมาย ดังนี้

           สีแดง หมายถึง ภราดรภาพ และความเสมอภาคของมนุษย์โดยทั่วหน้า

           สีขาว หมายถึง ความบริสุทธิ์ และความดีงามที่แพร่หลาย และคงอยู่ตลอดกาล

           รูปพระจันทร์เสี้ยว ซึ่งเป็นจันทร์เสี้ยวข้างขึ้น หมายถึง ความเป็นชาติใหม่ที่ถือกำเนิดขึ้น

           ดาว 5 ดวง หมายถึง อุดมคติ 5 ประการของชาติ ได้แก่ ประชาธิปไตย สันติภาพ ความก้าวหน้า ความยุติธรรม และความเสมอภาค

ธงอาเซียน และสัญลักษณ์ของอาเซียน

          9. Kingdom of Thailand (ราชอาณาจักรไทย)
          ธงชาติไทย ประกอบด้วย 3 สีหลัก ได้แก่ สีแดง สีขาว และสีน้ำเงิน มีการแบ่งเป็นริ้วจำนวน 5 แถบ ซึ่งแถบในสุดเป็นสีน้ำเงิน ถัดมาด้านนอกทั้งด้านบน ด้านล่าง เป็นสีขาว และสีแดงตามลำดับ ทั้งนี้ แถบสีน้ำเงินมีขนาดใหญ่กว่าแถบสีอื่นเป็น 2 เท่า ส่วนสีต่าง ๆ มีความหมาย ดังนี้

           สีแดง หมายถึง ชาติ

           สีขาว หมายถึง ศาสนา

           สีน้ำเงิน หมายถึง พระมหากษัตริย์

          อย่างไรก็ตาม มีการเรียกชื่อธงนี้ว่า ธงไตรรงค์ (ไตร = สาม, รงค์ = สี) เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ "เครื่องหมายแห่งไตรรงค์" ไว้เมื่อ พ.ศ. 2464 โดยได้นิยามความหมายของธงไตรรงค์ว่า

           สีแดง หมายถึง เลือดอันยอมพลีให้แก่ชาติ

           สีขาว หมายถึง ความบริสุทธิ์แห่งพระพุทธศาสนา และธรรมะ

           สีน้ำเงิน หมายถึง สีส่วนพระองค์ขององค์พระมหากษัตริย์

          แม้นิยามดังกล่าวจะไม่ใช่คำอธิบายที่ทรงประกาศใช้อย่างเป็นทางการ แต่ทั้งสามสิ่งนี้คืออุดมการณ์รัฐที่พระองค์ทรงปลูกฝัง เพื่อให้คนไทยเกิดสำนึกความเป็นชาตินิยมมาตลอด

ธงอาเซียน และสัญลักษณ์ของอาเซียน

          10. Socialist Republic of Vietnam (สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม)


          ธงชาติเวียดนาม พื้นธงเป็นสีแดงล้วน ตรงกึ่งกลางมีรูปดาว 5 แฉก สีเหลืองทอง เป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่าหมายถึงชนชั้นต่าง ๆ ในสังคมเวียดนาม คือ นักปราชญ์ ชาวนา ช่างฝีมือ พ่อค้า และทหาร ส่วนสีต่าง ๆ มีความหมาย ดังนี้

           สีแดง หมายถึง การต่อสู้เพื่อกู้เอกราชของชาวเวียดนาม

           สีเหลือง หมายถึง ชาวเวียดนาม

          อย่างไรก็ตาม ภายหลังการรวมชาติเวียดนามในปี พ.ศ. 2519 ความหมายในธงได้มีการอธิบายใหม่ในทางการเมืองว่า

           สีแดง หมายถึง การปฏิวัติโดยชนชั้นกรรมาชีพ

           ดาวสีทอง หมายถึง การชี้นำของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
 
osmie4.moe.go.th , region5.prd.go.th , kan1.go.th